– **ปฏิกิริยาภูมิแพ้ตัวเอง**: ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นอาจโจมตีเนื้อเยื่อปกติ ทำให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะต่างๆ
– **อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่**: ไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย
– **ผลข้างเคียงจากการให้ยา**: เช่น อาการแพ้ระหว่างการให้ยาทางหลอดเลือดดำ
นวัตกรรมล่าสุดในปี 2025 มีการพัฒนาแนวทางการจัดการผลข้างเคียงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการทำนายและป้องกันผลข้างเคียงรุนแรงก่อนเกิดขึ้น[5]
อนาคตของภูมิคุ้มกันบำบัด
1. **การรักษาแบบผสมผสาน**: การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับการรักษาแบบอื่นๆ เช่น การใช้ยาเป้าหมาย (targeted therapy) หรือเคมีบำบัดในขนาดต่ำ
2. **การรักษาเฉพาะบุคคล**: การใช้ข้อมูลพันธุกรรมและชีวสารสนเทศในการคาดการณ์ว่าผู้ป่วยรายใดจะตอบสนองดีที่สุดต่อภูมิคุ้มกันบำบัดชนิดใด
3. **ภูมิคุ้มกันบำบัดก่อนการผ่าตัด**: การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดก่อนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของมะเร็งและกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจกระจายไปแล้ว
4. **การรักษาด้วยเซลล์ NK (Natural Killer)**: การพัฒนาเทคโนโลยีคล้าย CAR-T แต่ใช้เซลล์ NK แทนเซลล์ T ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

ภูมิคุ้มกันบำบัดกำลังเปลี่ยนโฉมการรักษามะเร็งอย่างสิ้นเชิง จากการ “ฆ่า” เซลล์มะเร็งด้วยยาหรือรังสี มาเป็นการ “สอน” ให้ร่างกายของเราเองเป็นผู้ต่อสู้กับมะเร็ง แม้จะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะกับผู้ป่วยทุกราย แต่สำหรับหลายคน นี่คือความหวังใหม่ที่นำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเผชิญกับมะเร็ง การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นอีกทางเลือกที่ควรพิจารณา